

ล่าสุดเช้าเมื่อวานนี้ นายมะนิช พร้อมอดีตภรรยา นางอังคนารัตน์ รวมทั้งลูก ๆ เดินทางมา หวยรางวัลที่ 1 ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เพื่อโอนเงินตามที่ ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย โดยนายมะนิช ได้เงิน 1.5 ล้านบาท จากที่ตกลงไว้ที่ 1.6 ล้านบาท โดย นางอังคนารัตน์ ขอเงิน 1 แสนบาทไป ใช้ตั้งตัวเริ่มชีวิตใหม่
นายมะนิช เปิดเผยว่า ดีใจที่ได้เงินคืน จะได้มีเงิน ส่งลูกเรียนต่อ รวมทั้งจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ถ้าอดีตภรรยา ให้ออกจากบ้าน ก็ยังไม่รู้จักว่า จะไปอยู่ตรงไหน ก็ขอไปเรื่อย ๆ
ด้าน นางอังคนารัตน์ ระบุภายหลัง โอนเงินสะสางปัญหาแล้ว ตั้งอกตั้งใจว่าจะ ไปนุ่งขาวห่มขาว 1 สัปดาห์ ที่วัดบึงเขาหลง จังหวัดหนองคาย โดยจะขี่รถจักรยานยนต์ ไปอย่างเดิม ค่ำไหนนอนนั่น ยืนว่าไปคนเดียว
แล้วตั้งอกตั้งใจจะไปกู้ยืมเงิน ธ.ก.ส. โดยประมาณ 1 ล้านบาท เพื่อนำเงิน ไปลงทุนห้องเช่าเนื่องจาก ต้องหาเงินเลี้ยงลูก ส่วนสามีอดีตทหาร (ญาติของนายมะนิช ที่จดทะเบียนสมรสกับนางอังคนารัตน์) เดี๋ยวนี้ต้องการจะหย่ากับตน หลังจากกลับจากจังหวัดหนองคาย ก็จะไปหย่า ให้ตามความต้องการ

หวยรางวัลที่ 1 ก่อนหน้านี้ เปิดใจ เมียยอมคืนเงินถูกหวย 3.1 ล้าน ลั่น ขอแยกทาง ไล่ผัวออกจากบ้าน
ใกล้จบดราม่า หวยชุลมุน เปิดใจเมีย กลับไปอยู่บ้าน ตั้งอกตั้งใจคืนเงิน 3.1 ล้านที่เหลือคืน ขอแยกทางในทันที รวมทั้งไล่ผัว ออกจากบ้าน ด้านสามีรอ เรื่องทุกอย่างจบ จึงถอนแจ้งความ
จาก กรณีหวยชุลมุน นายมะนิช อายุ 49 ปี ถูกสลากกินแบ่งรางวัลที่ 1 งวดวันที่ 16 เดือนพฤศจิกายน 2565 รับเงิน 6 ล้านบาท แต่ถูกภรรยา อายุ 45 ปี ที่อยู่ กินกันมา 26 ปี แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส หอบเงินไปกับชายอื่น
โดยตอนแรก ไม่ได้อยากแจ้งความ เนื่องจากกลัวภรรยาโดนจับ แต่ต่อมาเปลี่ยนความคิด เข้าแจ้งความ เพราะเหตุว่ามีความรู้สึกว่าโดนหลอก ภรรยาบอกกลับไปกลับมา ตามที่ได้รายงาน ไปแล้วนั้น
ในวันที่ 20 เดือนพฤศจิกายน 2565 นางอังคณารัตน์ อายุ 45 ปี ซึ่ง เป็นภรรยา ที่อยู่กินมากันมา 26 ปี ได้เดินทางกลับ มาบ้านในตอนเวลาเช้าเพื่อมาพบกับ นายมะนิช อายุ 49 ปี ชาวบ้านคางฮุง ม.5 ต.ธวัชบุรี อำเภอธวัชบุรี สามีที่บ้าน หลังจากรู้ว่าสามีแจ้งความจับ เพื่อตกลงพูดจากัน
โดย ร่วมเดินทาง มายังโรงพักภูธรธวัชบุรี พร้อมลูก 2 คน เพื่อทำบันทึกถ้อยคำ ไว้เป็นหลักฐาน กลับมาแล้ว แต่เจตนาเป็นนำเงินมาคืน 3.1 ล้านบาท ที่ยังเหลือในบัญชี รวมทั้งภายหลังคืนเงินได้ แจ้งต่อเจ้าหน้าที่สอบสวนให้บันทึกปากคำ ขอแยกทางกับสามีโดยเด็ดขาด
ภายหลังที่มอบเงินคืน ให้แล้วก็ให้แยกทาง กันในทันที ให้ออกจากบ้านภายใน 3 วัน โดยไม่มีเงื่อนไข ถ้าเกิดเข้ามาบุกรุก ก็จะแจ้งความดำเนินคดี ในทันทีเพราะเหตุว่าไม่มีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา กันอีกต่อไปโดยเด็ดขาด
สำหรับเงินจำนวน 3 ล้าน 1 แสนที่เหลือนั้น แบ่งเป็น 3 ส่วน ให้สามี รวมทั้งลูก 2 คน (เนื่องจาก คนโตจบการศึกษาแต่งงานแล้ว ได้เงินไปแล้ว 2 แสนบาท) ผู้ที่จะได้รับใหม่ เป็นคนเล็ก 1 ล้านบาท อายุ 11 ปี รวมทั้ง ลูกคนกลาง 500,000 บาท รวมทั้งให้สามี 1 ล้าน 6 แสนบาท รวมเป็น 3.1 ล้านบาท รวมทั้งทวงทองรูปพรรณ สร้อยคอ แหวน หนัก 2 บาทที่ตนซื้อ ให้สามีเก็บไว้ คืนด้วย
ในวันนี้ ยังไม่มีการถอนแจ้งความเดิม จนกว่าจะจัดการตามข้อตกลง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงจะให้ฝ่ายผู้ชาย มาถอนการแจ้งความคราวหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา ตามมาจากการที่ฝ่ายหญิง ที่อาจจะหายไปอีก
ในขณะเดียวกัน การมอบเงินให้บุตรสาวตกลงกัน ภายในข้อกำหนดว่า จะให้ถอนเงินมาใช้ ได้เมื่อบุตรสาวอายุ ถึง 20 ปีบริบูรณ์ ส่วน ลูกชายที่เขาเรียน มัธยม6 ก็ระบุว่า ให้สามารถถอนเงินจำนวน ที่แม่มอบไว้ให้ได้ เมื่ออายุถึง 25 ปีแล้ว เท่านั้น
ซึ่งสามี นายมะนิช อายุ 49 ปี ก็ยอมตามนั้น รวมทั้งกล่าวว่าพอใจ ที่ได้เงินกลับมา ให้ลูกเรียนหนังสือ รวมทั้งเงินส่วน ที่ตนเองได้ก็จะเอาไป ลงทุนส่วนตัว ยอมรับข้อตกลงที่ให้ออกจากบ้าน
เพื่อให้ลูกอยู่กับแม่ที่บ้าน เพื่อความสบายใจ ส่วนตนเองก็จะออกจากบ้าน ไปหางานทำที่กทม. เพื่อหาอาชีพเลี้ยงตนเอง รวมทั้งการันตีว่าทุกอย่าง ทำด้วยความรักเมีย รักครอบครัว ส่วนการจะมีการคืนดีกันหรือไม่นั้น ขอให้คือเรื่องของอนาคต ถ้าเกิดเมียอภัยให้ ก็จะขอกลับมา

ด้านนางอังคณารัตน์ บอกว่า ภายหลังรู้ข่าว การแจ้งความจับ ก็เลยกลับมาเคลียร์ปัญหา
เรื่องเงิน รวมทั้งการันตีว่าไม่ได้ ไปกับผู้ชาย ผู้ที่มาที่บ้าน รวมทั้งเพียงรู้จักกัน แต่ไปคนเดียวโดยไม่มีใครไปด้วย และไม่มีเรื่องมีราวชู้สาว แต่ไม่พอใจที่สามีชอบดุด่า รวมทั้งโดนลูกชายหาเรื่องใส่ ก็เลยหนีไปทำใจ
รวมทั้งตั้งอกตั้งใจจะหนี ไปเข้าวัดไปเรื่อย ๆ เพื่อเอาเงิน ที่ถูกรางวัลไปทำบุญ รวมทั้งจะเข้าวัดไปนุ่งขาว ห่มขาว สะเดาะเคราะห์ แต่ถูกให้ร้าย ก็เลยจำต้องกลับมาสะสางปัญหา รวมทั้งคำครหา การันตีว่าไม่มีเรื่องชู้สาว มาเกี่ยวเนื่อง
การเดินทางกลับมา ก็นำเงินที่เหลือจาก การถูกรางวัล 6 ล้านบาท ในบัญชี ที่โอนให้สามีแล้ว 1 ล้าน ใช้หนี้สินที่เป็นหนี้ กับ ธ.ก.ส.ไปแล้ว รวมทั้งเหลือ 3.1 ล้านกลับมาด้วย เพื่อนำมาคืน แล้วเดินทางไปพบ พันตำรวจโทสมศักดิ์ เกตุพิบูลย์ สารวัตรสอบสวน สภ.ธวัชบุรี ร้อยเอ็ด เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาจากสามี รวมทั้งลงบันทึกประจำวันว่า นำเงินทั้งหมด มาคืนให้กับสามี เพื่อแบ่งสามส่วน ทั้งสามีรวมทั้งลูก 2 คน ดังกล่าว
พร้อมทั้งแจ้งว่าภายหลังคืนเงิน รวมทั้งขอสร้อยทองคืนแล้ว ยืนยันขอแยกทางกับสามี ไล่ให้ออกจากบ้าน รวมทั้งที่ดิน ที่เป็นมรดกของตัวเอง ภายใน 3 วัน โดย จะให้ทุกคน ไปเปิดบัญชีธนาคารของตัวเองทั้ง 3 คน ในวันจันทร์ แล้วจะโอนเงินให้ เพื่อให้ทุกอย่างจบ
โดยตน จะขออยู่ที่บ้านกับลูก รวมทั้ง จ.ส.อ.เทิดศักดิ์ อดีตทหารนอกราชการ ที่พิการที่ตนคอยดูแล แลกกับการเอาเงินเดือนมาให้ ใช้จ่ายในครอบครัว ที่จดทะเบียนสมรส เพื่อดูแลกันต่อไป โดยการันตีว่าไม่มีชายอื่น โดยเด็ดขาด
ภายหลังการบันทึกลงชื่อข้อตกลง คืนเงินกันแล้ว ทั้งสองได้จับมือกันว่า ยังคงคบกัน เป็นเพื่อนได้ โดยมิได้แค้นเคือง ทะเลาะกัน ส่วนการที่อาจจะกลับมาคืนดี กันใหม่หรือไม่นั้น ขอให้เป็นเรื่องอนาคต ที่ขอดูกันไปก่อน เนื่องจากอนาคตเป็นเรื่องที่ไม่แน่ ว่าอะไรก็เป็นได้
ในช่วงเวลาที่ พันตำรวจโทสมศักดิ์ เกตุพิบูลย์ สารวัตรสอบสวน สภ.ธวัชบุรี ร้อยเอ็ด ที่ได้บันทึกปากคำ บอกว่า ดีใจที่เรื่องสิ้นสุดลงด้วยดี แต่ยังจะไม่มี การถอนแจ้งความ จากที่นายมะนิชแจ้งไว้ จนกว่าจะมีการเปิดบัญชี โอนเงินทั้งหมดตามที่ ตกลงกันแล้ว จึงจะมีการบันทึกถอนแจ้งความ ในคราวหลัง เพื่อป้องกันการเกิดปัญหา ที่อาจจะไม่ทำตามสัญญา
ถ้าเกิดทุกอย่างเรียบร้อย ก็จะให้บันทึกถอนแจ้งความต่อไป แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสังเกต เป็นการที่นางอังคณารัตน์ อ้างถึงว่าเงิน ยังเหลือ 3.1 ล้านบาท นั้น ปรากฏว่ามิได้นำสมุดบัญชีมาแสดงให้เห็น ยอดเงินดังกล่าวด้วย โดยอ้างถึงว่าซ่อนไว้ และไม่ได้นำมาด้วย ซึ่ง ก็น่าสังเกต รวมทั้งน่าติดตามว่า การกล่าวอ้างว่าเหลือเงิน 3.1 ล้านบาท ในบัญชี ไม่ทราบว่ามีจริงหรือไม่ ซึ่งคงต้องรอ วันที่ทุกคนเปิดบัญชีใหม่ แล้วดูว่ามีเงินที่จะ โอนให้ตามข้อตกลงหรือไม่ต่อไป